วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สูตรมาร์คหน้าใส

                    รวมสูตรมาร์คหน้าใส ด้วยตนเอง 


มาร์ค สูตร แตงกวา

วิธีทำ ปอกเปลือกแตงกวาลูกเล็ก ๆ หนึ่งลูก เอาใส่เครื่องปั่นจนเป็นเนื้อเนียนนุ่ม กรองเอาแต่น้ำเก็บเอาไว้ จากนั้น เอาน้ำชาเขียวและชาคาโมมายล์อย่างละสองออนซ์กับเจลาตินหนึ่งห่อ ตั้งไฟอ่อนๆ จนเจลาตินละลาย เติมน้ำแตงกวาลงไป คนให้ส่วนผสมเข้ากันดี แล้วเทใส่ภาชนะแก้วเก็บไว้ในตู้เย็นราว 25 นาที จนเริ่มเป็นส่วนผสมข้นๆ นำเอาส่วนผสมนี้มาทาให้ทั่วหน้า ปล่อยให้แห้ง 20 นาที ลอกมาสก์ออก แล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ซับให้แห้ง แตงกวามีคุณสมบัติเป็นแอสตริงเจนต์อ่อน ๆ ที่ทำให้ผิวเย็นลง จึงดีเป็นพิเศษกับผิวอักเสบ เป็นผื่นแดง หรือไหม้แดด


มาร์ค สูตร มะเขือเทศ

วิธีทำ เริ่มด้วยการฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซี และกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด 

  
มาร์ค สูตร ไข่ขาว   
วิธีทำ ตอกไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น 
  

มาร์ค สูตร น้ำผึ้ง  
วิธีทำ เริ่มจากล้างหน้าให้สะอาด แล้วเช็ดให้แห้ง จากนั้นใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพักศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออกให้สะอาด 

  
มาร์ค สูตร แอปเปิล   
วิธีทำ ปอกแอปเปิลแล้วคว้านเอาไส้และเมล็ดออก จากนั้นบดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก 

  
มาร์ค สูตร นมเปรี้ยว  
วิธีทำ สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ 

  
มาร์ค สูตร แตงโม  
วิธีทำ จัดการฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น


มาร์ค สูตร น้ำมะนาวและน้ำผึ้ง 
  
วิธีทำ ด้วยการผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น  


สูตรขัดผิวด้วยส้ม 

    1. นำส้มเขียวหวาน (เท่านั้นนะคะ) มาล้างให้สะอาด แล้วปอกเปลือก จากนั้นผ่าตามขวาง 
                    แล้วแคะเมล็ดออกจนหมด
    2. ใช้ส่วนของเกร็ดส้มขัดเป็นวงกลมเบาๆ โดยไม่ต้องใช้แรงกด (ถ้ากดแรงไปจะทำให้ผิวมีริ้วรอยได้ง่าย)
                   พอให้ผิวส้มสัมผัสกับผิวเรา เป็นอันใช้ได้ค่ะ
    3. ขัดเบาๆ ประมาณ 15 นาที แล้วทิ้งให้น้ำส้มที่อยู่บนใบหน้าหรือลำตัว แห้ง แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็นจัด

    TiPS 
    - ทำเป็นประจำ สัปดาห์ละครั้ง เท่านี้ผิวก็จะผุดผ่อง เพราะส้มมี ViT C ที่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว และช่วยให้เม็ดสี จุดด่างดำ 
                 ดูจางลงด้วย 
    - เปลือกส้ม สามารถนำมาหั่นเป็นเส้น แล้วนำไปตากแดดจนแห้ง นำมาใช้เป็นยาจุดกันยุงได้อีกด้วยค่ะ


สูตรเพื่อผิวขาวกระจ่างใสขึ้น
    
    ผงขมิ้น + โยเกิร์ตรสธรรมชาติ
    หลังจากถูสบู่ ให้นำผงขมิ้นที่ผสมกับโยเกิร์ตแล้ว มาทาให้ทั่วตัว ระหว่างทาก็นวดไปด้วย ค่อยๆ ทาวนเป็นวงกลมจนทั่ว
    ทิ้งไว้ 5-10 นาที จากนั้นใช้ใยบวบหรือที่ขัดตัว ผสมครีมอาบน้ำให้เกิดฟองนิดหน่อย แล้วเริ่มขัดทั้งตัวพร้อมกับผงขมิ้น&โยเกิร์ต
    ที่ยังไม่ได้ล้าง โดยขัดจากปลายเท้าขึ้นมาจนทั่วตัว > ล้างน้ำออก จากนั้นทาโลชั่นตามทันที
    ทำ 3 วัน/ครั้ง หรือสัปดาห์ละครั้ง ผิวจะค่อยๆใส และขาวขึ้นเจ้าค่ะ

 

สูตรเพื่อผิวขาวกระจ่างใส (ฉบับเจ้าสาว)

    มะขาม + ผงขมิ้น + นมสด + เกลือ
    1. ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ขัดเบาๆ ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างออก
    2. พอกด้วยส่วนผสมที่ 2 (ผงขมิ้น + นมสด + ทานาคาหรือดินสอพอง) ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออก
    ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งค่ะ ผิวจะสว่างใสและขาวขึ้นภายใน 1 เดือน



สูตรเพื่อผิวขาว(ฉบับเจ้าสาว) Version 2

  ไพล + นมผงสำหรับเด็กทารก (Ext: เอส26 หรือ เนสเล่) 
      นำไพลและนมผงมาบดผสมให้เข้ากัน (จะผสมขมิ้นลงไปด้วยก็ได้ค่ะ) แล้วนำมาขัดผิวเวลาอาบน้ำ โดยล้างสบู่ให้สะอาดก่อน แล้วขัดเบาๆ
     ใช้บวบขัดผิว หรือแปรงที่ขนนุ่ม ๆ ก็ได้ค่ะ รับรองผลชัวร์ ๆ ผิวจะสะอาดเนียนและนุ่มมาก ๆ ค่ะ


 
สูตรสมานผิว (แสนจะง่าย)

  หลังล้างหน้า นำน้ำผึ้งแท้ล้วนๆ มาทาหน้าให้ทั่ว แล้วทิ้งไว้ไม่น้อยกว่า 10 นาทีค่ะ จากนั้นล้างน้ำออกและบำรุงผิวตามปกติ

    TiPS
    ใช้ได้ดีกับผิวแพ้ง่ายและผิวที่อักเสบจากการแพ้ เพราะน้ำผึ้งเป็นตัวประสานผิวที่ดี ช่วยทำให้ผิวหน้าเนียนขึ้น สิวผดต่างๆ จะหายไป 
หน้าไม่เป็นขุย เวลาเป็นแผลสด ทำท่าจะมีหนองก็ให้เอาน้ำผึ้งทาทิ้งไว้ หนองจะไม่มีและแผลก็จะแห้งเร็วด้วยค่ะ


สูตรสำหรับผิวหมองคล้ำ

    ขมิ้น + มะขามเปียก
    1. นำมะขามเปียกลงขยำในน้ำอุ่น ใช้กะปริมาณให้ทั่วผิวกาย (1-2 ฝักกับน้ำอุ่นเล็กน้อย) ให้น้ำมะขามมีลักษณะข้นๆ
    2. ละลายผงขมิ้นลงไป ประมาณ 1/4 - 1/2 ช้อนชา (ระวังอย่าให้มากไปนะคะ มิเช่นนั้นอาจกลายเป็นสาวดีซ่าน ไปซะอีก..อิอิ)
    3. คนๆให้เข้ากันค่ะ นำส่วนผสมที่ได้มาพอกผิว อาจใช้ใยบวบขัดผิวเบาๆ ไปด้วย ทิ้งไว้จนแห้งแล้วค่อยล้างออกค่ะ

 
สูตรสำหรับผิวแห้ง

    น้ำมันมะกอก + เกลือ + ผลสตรอว์เบอรี่สด
    1. ผสมน้ำมันมะกอกกับเกลือ (ควรใช้เกลือเม็ดเล็กๆ หรือเม็ดที่ไม่คม ไม่หยาบจนเกินไปค่ะ เดี๋ยวมันจะบาดผิวเรา) เข้าด้วยกัน
    2. ใส่สตรอว์เบอรี่ที่ใช้ช้อนบี้ๆ บดๆ จนเละแล้วลงไป
    3. คนๆ ให้เข้ากัน ใช้เป็นสครับสำหรับขัดผิวกาย เพื่อให้ความชุ่มชื้น ทำให้ผิวสดใส และเต่งตึงขึ้นด้วยค่ะ

 
สูตรเพื่อผิวเนียน

       ว่านหางจรเข้ 2 ใบ(ใบใหญ่) + ใบชะพลู 10 ใบ + ไข่ไก่ 1 ฟอง
       นำว่านหางจรเข้มาปอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำใบชะพลูที่ล้างสะอาดแล้ว มาหั่นหยาบๆ
     แล้วนำส่วนผสมทั้ง 2 อยางลงเครื่องปั่น  ใส่ไข่ไก่ลงไป...ปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที ล้างออก  ผิวหน้าจะเนียน ลื่นขึ้นค่ะ

 

สูตรลดริ้วรอย

    เนื้อมะละกอสุก + เนื้อฝรั่ง
    1. นำเนื้อมะละกอและฝรั่งมาปั่นรวมกัน (อาจเติมนมสดหรือโยเกิร์ตรสธรรมชาติลงไปด้วยนิดหน่อย) ปั่นให้พอเละ ๆ ค่ะ
    2. นำส่วนผสมที่ได้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก

    TiPS
    สูตรนี้ไม่เหมาะกับผิวแพ้ง่ายนะคะ เพราะมะละกอมันจามียาง อ่ะค่ะ

 

สูตรสำหรับผิวธรรมดา/ผิวมัน

    เนื้อแตงกวา (ปั่นแยกน้ำ) 1 ถ้วย
    โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
    เมล็ดงา 1 ช้อนชา
    จมูกข้าวสาลี 2 ช้อนโต๊ะ

    นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาทาผิวในลักษณะวนเป็นวงกลม  เมื่อส่วนผสมใกล้แห้ง ค่อยๆ ขัดออกเบาๆ
    เพื่อขจัดเซลล์ผิวเก่าออก แล้วล้างตัวด้วยน้ำอุ่น


สูตรไข่ กระชับผิว กระชับรูขุมขน

    1. ล้างหน้าด้วยน้ำนม ช่วยกระตุ้นให้ผิวสดชื่น กระชุ่มกระชวย
    2. ตอกไข่ใส่ชาม แยกส่วนไข่ขาวและไข่แดง ใช้เฉพาะไข่ขาว ทาบนใบหน้า (ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้ง ให้ผสมไข่แดงลงไปเล็กน้อย)
                    ทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออก ด้วยน้ำอุ่น
    3. ปิดท้ายด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงผิว

    TiPS
    ช่วยกระชับผิว กระชับรูขุมขน เฉกเช่นเดียวกับ โทนนิ่งโลชั่น

 

สูตรการทำ Tropical Fruit Mask

    น้ำสัปปะรดคั้นสด 1 ถ้วย
    มะละกอสไลด์สด 1/2 ถ้วย
    น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
    1.  นำน้ำสัปปะรดและมะละกอ คนๆ เข้ากันให้ละเอียด เติมน้ำผึ้งเพิ่มลงไป
    2. ล้างหน้าให้สะอาด ซับหน้าให้แห้ง เอาส่วนผสมทาให้ทั่วหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ 5 นาที (ถ้าผิวแพ้ง่าย 2-3 นาทีก็พอจ้า)
    3.ล้างออกด้วยน้ำเย็น ตามด้วยมอยซ์เจอร์บำรุงผิว

    TiPS
    - ควรทำมาสก์นี้ไม่เกิน 1 ครั้งต่ออาทิตย์นะคร๊ะ
    - ผลไม้อุดมไปด้วย AHA ทำให้เส้นสกุนาบาทา (เท้ากา) จางลงได้ด้วย เพราะมีเอนไซม์จากธรรมชาติ ช่วยขจัดผิวที่เสีย 
                เมื่อผสมกับน้ำผึ้ง ทำให้ผิวนุ่มขึ้น

 
สูตรสู้สิว ฉบับแสนง่าย

    1. ปอกเปลือกมะเขือเทศ ฝานเป็นแผ่นๆ เอาเมล็ดออก 
    2. นำไปปั่นให้ละเอียด (ถ้าไม่มีเครื่องปั่น จะใช้วิธีขยำจนกระทั่งเนื้อมะเขือเทศเละ ไม่จับเป็นก้อน ก็ใช้ได้เหมือนกัน)
    3. ทาลงบนหัวสิว (ระวังอย่าให้เข้าตา) ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

    TiPS
    - ในกรณีที่คุณเป็นคนที่ผิวแพ้ง่าย หรือยังไม่แน่ใจว่าจะแพ้หรือเปล่า ให้ลองเทสต์กับท้องแขนก่อน ถ้ามีอาการแสบผิดปกติ 
                 ให้ล้างออกทันทีและไม่ควรใช้กับผิวหน้า 
    - กรด" ในมะเขือเทศ จะช่วยทำความสะอาดรูขุมขน และลดการเกิดสิว

 

สูตรรักษาฝ้า

    คั้นน้ำมะขามเปียก ให้ค่อนข้างใสสักหน่อย ตั้งไฟอ่อน รอจนสุกจึงใส่น้ำผึ้งลงไปคนให้เข้ากัน  ขั้นตอนนี้ต้องทำพร้อมกัน คือมือหนึ่งเท
    อีกมือก็คนให้ทั่ว นำมาทาหน้าวันละ 1 ชั่วโมง ช่วยรักษาฝ้า และทำให้ผิวหน้านวลใสขึ้นค่ะ

 

สูตร Cleanser สำหรับทุกสภาพผิว

    โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย
    น้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำมะนาว 1 1/2ช้อนโต๊ะ (คั้นสด ๆ )

    นำส่วนผสมทั้งหมด มาผสมให้เข้ากัน พอกให้ทั่วหน้าทุกเช้าและก่อนนอนแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้า
    ได้อย่างล้ำลึกและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วยค่ะ

 

สูตรมาร์คสิวเสี้ยน

    ถั่วเขียวต้ม 2 ช้อนโต๊ะ
    สตรอเบอร์รี่ผลโต 2 ผล (ผลเล็ก 4 ผล)
    นมเปรี้ยว 1/2 ช้อนโต๊ะ

    1. ต้มถั่วเขียวให้สุกกำลังดี แล้วตักใส่ถ้วยใบเล็กๆ ไว้
    2. ใช้น้ำอุ่นๆ ล้างหน้าให้สะอาดด้วยสบู่หรือโฟมล้างหน้า เช็ดซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ ใช้หมวกคลุมผมสำหรับอาบน้ำคลุมศีรษะไว้ หรือใช้ที่คาดผมเพื่อเก็บเส้นผมไม่ให้หล่นปรกใบหน้า
    3. ใช้ช้อน หรือส้อมบดๆ ยีๆ ถั่วเขียวต้มสุกและสตรอเบอร์รี่ให้ละเอียด นำทั้ง 2 มาผสมกัน ตีๆ ยีๆ ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เติมนมเปรี้ยวผสมลงไป 1 ช้อนชาครึ่ง หรือ 1/2 ช้อนโต๊ะ ถ้ามีเครื่องปั่นให้ปั่นถั่วเขียวต้ม และสตรอเบอร์รี่ และนมเปรี้ยวพร้อมๆ กัน แต่ไม่ต้องให้ละเอียดมากนัก
    4. นำส่วนผสมที่ได้มา ทาให้ทั่ว ผิวหน้า เว้นรอบๆ ริมฝีปากและรอบดวงตาไว้ พอกทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที และล้างทำความสะอาดหน้าด้วยน้ำอุ่นๆ กับสบู่หรือโฟมล้างหน้า

    TiPS
    สูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยน กระ ฝ้า จุดด่างดำ ริ้วรอยต่างๆ ที่เป็นรอยยับย่น มาร์คสูตรนี้ช่วยให้ใบหน้าขาวนวล เกลี้ยงเกลา 
   ใสสะอาดอย่างน่าอัศจรรย์ หมั่นทำเป็นประจำทุกๆ วันกันนะคร๊า

 

สูตรมาร์คหน้าเพื่อผิวกระชับ

    มันฝรั่งป่น 2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำอุ่น

    1. เทน้ำอุ่นช้าๆ ลงในถ้วยที่ใส่มันฝรั่งป่นและคนให้เข้ากันจนข้น
    2. ก่อนมาส์กหน้าให้ใช้ครีม หรือน้ำมันเบบี้ออยล์เล็กน้อยทาใบหน้าบางเบาให้ทั่ว จากนั้นใช้พู่กันจุ่มมันฝรั่งข้นทาทั้งใบหน้าและลำคอ
      (ยกเว้นรอบดวงตาและลำคอด้านหลัง)
    3. ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ใช้ผ้าอุ่นชื้นประคบใบหน้าให้มาส์กอ่อนตัว(จนกว่ามันฝรั่งจะนิ่ม) แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น

    TiPS
    การมาส์กหน้าด้วยมันฝรั่งป่นจะช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้เลือดไหลเวียนดีและทำให้ผิวกระชับเต่งตึง แต่จะทำให้ผิวแห้ง ดังนั้นจึงไม่ควรมาส์กหน้า
    ด้วยมันฝรั่งบ่อยเกินไป

 

สูตรขัดผิว (เค้าว่า...เป็นสูตรของป้าศรีเวียงค่ะ)

    นมผง 3 ช้อนโต๊ะ
    * นมผงก็ใช้นมผงสำหรับชงให้ทารกดื่ม ที่มีขายทั่วไปนะคะ ซื้อแบบซองขนาดเล็กสุดมาก็ได้ เพราะน่าจะใช้ได้นานมาก
                 ผงขัดตัว 2 ช้อนโต๊ะ
    * ผงขัดตัว เราใช้ผงขมิ้นขัดตัว ที่มีอยู่แล้ว เป็นแบบกระปุกๆ ละ 30 บาท
                 น้ำมะนาว
    * น้ำมะนาว ปริมาณน่าจะเริ่มจากน้อยๆ ก่อนนะคะ เพื่อว่าเวลาทาจะได้ไม่แสบ ถ้าทำไปแล้วรู้สึกเฉยๆ ก็เพิ่มประมาณได้ค่ะ
                 สำหรับเราใช้ครั้งแรกครึ่งลูก ก็ไม่แสบ คราวหน้าจะลองใส่หนึ่งลูกดู

    น้ำเปล่า

    1. ผสมนมผงกับผงขัดตัวให้เข้ากัน ใส่น้ำมะนาว และเติมน้ำเปล่าทีละน้อย และผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อโคลน
    2. เสร็จแล้วก็ทาเลยค่ะ ทาทั้งแขน ทั้งขา (แนะนำว่าทำในห้องน้ำดีกว่า จะได้ไม่เลอะเทอะ) อย่าทาหนาเกินไป ตอนขัดจะขัดยาก
                    ทิ้งไว้ให้หมาดเกือบแห้ง
    3.แล้วก็ใช้ฝ่ามือนี่แหละคะ ขัด ขัด ขัด เข้าไป บางคนอาจะขี้ไคลหลุดออกมา ก็อย่าตกใจละคะ มันจะหลุดออกมาเป็นก้อนๆ ผงๆ
                ก็ขัดให้ทั่วบริเวณที่ทาไว้
    ....หลังจากขัดเสร็จจะรู้สึกว่าผิวลื่นขึ้น มันเงาขึ้น เสร็จแล้วก็ทาครีมบำรุงทั้งตัว..เรียบร้อยค่า

 

สูตรแอสไพริน(ยอดนิยม)
 
    แอสไพริน แบบที่ไม่เคลือบเม็ด 5-6 เม็ด
    โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1-2 ช้อนโต๊ะ (กะให้พอกับการพอกหน้าเรา)
    น้ำผึ้ง

    นำแอสไพรินมาบดให้ละเอียด แล้วเอาไปผสมกับโยเกิร์ต เอาน้ำผึ้งใส่นิดหน่อย คนให้เข้ากัน แล้วก็เอามาพอกหน้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที
    พอแห้งก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จากนั้นซับหน้าให้แห้ง

    TiPS
    สูตรนี้เหมาะสำหรับผิวหน้ามันมากค่ะ (จะใช้แอสไพรินบดอย่างเดียวก็ได้ค่ะ โดยใช้น้ำสะอาดเหยาะๆ ลงไปพอให้ข้น แล้วพอกหน้าได้เลย) 
    สูตรนี้เวิร์คสุดๆ ค่ะ

 

สูตรกำจัดขน (แว็กซ์ทำเอง)

    น้ำตาล 4 ช้อนโต๊ะ
    น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ

    1. ผสมส่วนผสมทั้งสองเข้าด้วยกัน ตั้งไฟอ่อน คนไปเรื่อยจนส่วนผสมกลายเป็นสีเหลืองทอง ยกออกจากเตาแต่ต้องคนต่อไปเรื่อยๆ จนข้นเหนียว มีสีสันและความหนืดดั่งน้ำผึ้ง ปล่อยให้แวกซ์เย็นลง หากเข้มข้นมากเกินไปจนแข็งกลายเป็นคาราเมล ให้เติมน้ำมะนาวลงไปอีก
    2. ตัดผ้าฝ้ายเป็นแผ่นยาว ใช้มีดปาดแวกซ์ทาบริเวณที่ต้องการกำจัดขนไปในทิศทางเดียวกับที่ขนขึ้น (ทาลง) จากนั้นใช้แผ่นผ้าปิดบริเวณที่ทาให้แน่นแล้วดึงขึ้นในทิศทางที่สวนกับการทา แรกๆ อาจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยแต่ทำไปเรื่อยก็จะชิน
    3. เปลี่ยนผ้าแถบผืนใหม่เมื่อแวกซ์ติดขนหนาหลายชั้น สามารถใช้แวกซ์นี้บริเวณแขน ขา รักแร้ (ซึ่งอาจจะต้องให้คนใกล้ชิดช่วยทำ) สำหรับใบหน้าควรระวังที่สุด เพราะไม่ควรดึงทึ้งผิวที่อ่อนแอและบอบบาง ทั้งน้ำตาลและมะนาวต่างช่วยให้ผิวนุ่มเนียน การทำแวกซ์อาจทำให้เกิดขนคุดได้ ควรขัดผิวอย่างเบาๆ ด้วยหินขัดตัวระหว่างอาบน้ำจะช่วยลดขนคุดได้

    TiPS
     สูตรมหารานีแห่งอินเดีย ปกติขนตามเรียวขาจะงอกขึ้นมาใหม่ภายใน 6 สัปดาห์ วันเวลาที่ผ่านมาไปเมื่อแวกซ์ขนบ่อยๆ 
      รากก็จะอ่อนแอไม่เจริญเติบโต สำหรับสูตรแวกซ์ทำเองนี้จะมีจำนวนมากเพียงพอสำหรับขาทั้งสองข้างหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนของน้ำมะนาว 
      อากาศ ความชุ่มชื่นของน้ำตาลและระดับความร้อนที่ใช้

 
สูตรสาหร่ายทะเล

    ว่านหางจระเข้ 2 ใบ
    สาหร่ายทะเล(ปริมาณพอควร)

    1. นำว่านหางจระเข้มาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเอาเฉพาะวุ้นใสๆข้างใน จากนั้นเป็นชิ้นเล็กๆ
    2. นำมาปั่นรวมกับสาหร่ายทะเลที่แช่น้ำจนนิ่มและหมดสิ่งสกปรกจนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว
    3. นำมาพอกกับหน้าที่สะอาดแล้วก่อนเข้านอน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด

    TiPS
    ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะรู้สึกว่าผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วยภายในเวลาไม่ถึงเดือน

 

สูตรสครับขัดผิว

    ผงสมุนไพรที่มีส่วนผสมของขมิ้นไพร และการบูร
    น้ำผึ้งแท้
    น้ำมะขามเปียก
    โยเกิร์ตรสธรรมชาติ

    1. ผสมผงสมุนไพรกับน้ำผึ้งใน+++ส่วนที่พอเหมาะ เติมน้ำมะขามลงไปนิดหน่อย แล้วนำส่วนผสมดังกล่าวมาขัดตัว 10-15 นาที ล้างออก
    2. หลังจากล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วพอกตัวด้วยโยเกิร์ตทิ้งไว้อีกประมาณ 15-20 นาที
    ผงสมุนไพรจะช่วยบำรุงผิวพรรณ น้ำผึ้งและโยเกิร์ตช่วยให้ผิวเนียนนุ่มและกระชับขึ้น น้ำมะขามมี AHA ช่วยผลัดเซลล์ผิวทำให้ผิวขาวขึ้นและลดจุดด่างดำ

    TiPS
    หลังใช้น้ำมะขามขัดตัวแล้ว ช่วงแรกๆ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดเพราะผิวจะไวต่อแสง เป็นสาเหตุให้เกิดเม็ดกระได้ง่ายนะคร๊ะ

 
สูตรลอกสิวเสี้ยน

- ไข่ขาว
- พิมเสน
- สำลี ชนิดแผ่น
นำไข่ไก่เอาแต่ไข่ขาว ใส่ด้วย ใส่พิมเสนลงไปนิดหน่อยมันจะดับกลิ่นคาว แล้วทำให้หน้าเย็นๆ แต่อย่าใส่เยอะนะ (เดี๋ยวจะเย็นจนทนไม่ไหว อิอิ)
คนให้เข้ากัน ลอกสำลีให้บางๆ จากนั้นก็เอาไข่ขาวที่เตรียมไว้ทาหน้ารอบนึง แปะทับด้วยสำลี เสร็จแล้วทาไข่ขาวทับสำลีให้ชุ่ม ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งสนิท
แล้วลอกจากคางขึ้นมาแล้วล้างออก แล้วทีนี้สังเกตุที่สำลีที่ลอกออกมาดูดิ อืม...มันชั่งเยี่ยมไปเลย

 

สูตรผิวนุ่ม

Baby Oil
เกลือ ปรุงทิพย์

นำทั้ง 2 อย่างมาผสมกันถ้าต้องการให้สครับเยอะ ๆ ก็ใส่เกลือปรุงทิพย์ไปเยอะ ๆ นะคะ หลังจากอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายแล้ว
ก้อขัดให้ทั่วตัวเลยค่ะ ขัดวน ๆ ทิ้งไว้สัก 5 - 10 นาที ค่ะ ทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง (ถ้าใครผิวมันทำอาทิตย์ละครั้งก็ได้ค่ะ)
ผิวจะนุ่มขึ้นค่ะ




วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แหล่งท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร


                               10 แหล่งท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร

1. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)

        วัดพระแก้ว ตั้งอยู่บนถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ.
2325 เมื่อรัชกาลที่ 1 (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้า ฯ ให้ย้ายราชธานีจากธนบุรีมายังกรุงเทพมหานคร
        นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานของ "พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้ว"
พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย
        พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นในพระ
อุโบสถ ระเบียงพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่สวยงามและยาวที่สุดในโลก

2. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)

        วัดโพธิ์ได้ชื่อว่าเป็น "มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย"
        เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 3 ยังไม่มีการพิมพ์หนังสือการศึกษาที่มีอยู่ก็เรียนตามวัด
        พระองค์จึงมีพระราชประสงค์ให้มีแหล่งรวมความรู้ จึงมีการรวบรวมและเลือกสรรตำรับ
ตำรามาจารึกที่แผ่นศิลาไว้โดยรอบวัดเพื่อเผย แพร่ให้ประชาชน
        วัดโพธิ์จัดเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ก่อสร้างมาตั้งแต่
สมัยรัชกาลที่ 1

3. พระบรมมหาราชวัง

        มีพื้นที่ 218,400 ตารางเมตร ประกอบด้วยวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระที่นั่งดุสิต
มหาปราสาท พระที่นั่งองค์แรกภายในพระบรมมหาราชวัง
        โดยถ่ายแบบมาจากพระที่นั่งสรรเพชรมหาปราสาทในสมัยอยุธยา มีลักษณะเป็นปราสาท
จัตุรมุข ยอดทรงมณฑปซ้อนเจ็ดชั้นประดับกระจก หลังคาคาดด้วยดีบุก
        พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2418 เป็นสถาปัตยกรรมผสมระหว่างไทย
และยุโรปเป็นปราสาทรียงกันสามชั้น สามองค์ เชื่อมต่อด้วยมุขกระสันโดยตลอด หลังคามุง
กระเบื้องเคลือบสี มียอดปราสาทสามยอด
        นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วย พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระที่นั่ง
อัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ และพระที่นั่งบรมพิมาน

4. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

        วัดอรุณ ฯ หรือวัดแจ้ง ตั้งอยู่บนถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ เป็นวัดโบราณสร้าง
ในสมัยอยุธยาเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้ง ราชธานีที่กรุงธนบุรี ใน พ.ศ. 2310 ได้
เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เทียบเรือพระที่นั่งที่ท่าน้ำ เพื่อเสด็จฯ ขึ้นไป
สักการะพระมหาธาตุ ซึ่งเป็นพระปรางค์องค์เดิม พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "วัดแจ้ง"
        รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมอัฐิรัชกาลที่ 2 มาบรรจุไว้ พร้อมทรงเปลี่ยน
ชื่อวัดเป็น "วัดอรุณราชวราราม"
        พระปรางค์วัดอรุณฯ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ที่รู้จักกัน
ทั่วโลก สูง 70 เมตร ก่ออิฐถือปูนประดับด้วยกระเบื้อง เคลือบจานชามเบญจรงค์และเปลือกหอย
จำนวนมหาศาล แล้วนำมาเรียงต่อกันเป็นรูปร่างต่าง ๆ อย่างงดงาม
        นอกจากความสวยงามที่ผู้คนต่างยกย่องให้พระปรางค์วัดอรุณเป็นพระปรางค์ที่สวยงาม
ที่สุดในประเทศไทย และถือเป็นพระปรางค์ที่สูงที่สุดในโลก

5. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร
 

        วัดเบญจมบพิตร แปลว่า "วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5" ตั้งอยู่บนถ.ศรีอยุธยาใกล้
พระราชวังดุสิต สร้างด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี เป็นทรงจัตุรมุขหลังคาซ้อน 4 ชั้นวัดเบญฯ
ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบของศิลปะไทย
        ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมคือ ตอนย่ำรุ่งระหว่างที่พระสงฆ์ทำสังฆกรรมภายใน
พระอุโบสถ
        พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตรจัดแสดงพระพุทธรูปปางในสมัยต่าง ๆ ทั้งของ
ไทยและต่างประเทศ เช่น ปางลีลาสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย เป็นต้น

6. พระที่นั่งวิมานเมฆ

        ตั้งอยู่ในพระราชวังดุสิต ใกล้กับอาคารรัฐสภาและสวนสัตว์ดุสิต ระหว่างที่เริ่มสร้าง
พระราชวังดุสิต
        รัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ชะลอพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์จากเกาะสีชังมาสร้างขึ้นที่
พระราชวัง ดุสิต โดยมีสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงกำกับการออกแบบ
สถาปัตยกรรมของพระที่ นั่งได้รับอิทธิพลการก่อสร้างจากตะวันตก ตัวอาคารสร้างด้วยไม้สัก
ทองเป็นรูปตัว L มีทั้งหมด 3 ชั้น ยกเว้นส่วนที่ประทับซึ่งเรียกว่า "แปดเหลี่ยม" มี 4 ชั้น
        การจัดแสดงบางห้องยังคงบรรยากาศในอดีต เช่น ห้องบรรทม ห้องสรง เป็นต้น พระที่นั่ง
แห่งนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารที่สร้างจากไม้สักทองที่มี ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการ
ดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นที่แสดงศิลปวัตถุที่สะสมมาตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ 5


7. พิพิธภัณฑ์บ้านไทย จิม ทอมป์สัน


       นายจิม ทอมป์สัน (James H.W. Thompson) ผู้ก่อตั้งร้านผ้าไหมไทย จิม ทอมป์สัน
เดินทางมาประเทศไทยครั้งแรกในฐานะทหารอาสาสมัครของกองทหารอาสาสมัครของ
กองทัพสหรัฐฯ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
        เมื่อสงครามยุติเขาได้กลับมาดำเนินธุรกิจค้าผ้าไหมในประเทศไทยและเป็นผู้นำในการ
สร้างชื่อเสียงของผ้าไหมไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

8. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
 

        ตั้งอยู่บนถ.หน้าพระธาตุ เขตพระนคร ระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และโรงละครแห่ง
ชาติ ตรงข้ามกับสนามหลวง พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นับเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในแถบเอเชียตะวัน
ออกเฉียงใต้และเป็นสถานที่เก็บรวบรวมข้อมูลด้านศิลปะไทยมากที่สุดแห่งหนึ่ง
        เป็นแหล่งรวบรวมประวัติความเป็นมาของชาติไทยตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เข้าสู่ยุค
รุ่งเรืองของอาณาจักรสุโขทัย ลพบุรี อยุธยา ธนบุรี จนกระทั่งถึงยุครัตนโกสินทร์


9. พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด

 

        มีพื้นที่ 6 ไร่ ตั้งอยู่บนถ.ศรี-อยุธยา เขตราชเทวี ซึ่งประกอบด้วยเรือนไทยโบราณ 8 หลัง
ผู้มาเยี่ยมชมสามารถสัมผัสถึงความงามของสถาปัตยกรรมไทยที่คงความสมบูรณ์ยิ่ง ทั้งข้าวของ
เครื่องใช้ก็เป็นของส่วนพระองค์ที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน
        เราจะได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพระบรมวงศานุวงศ์หรือเจ้านายชั้น สูง คือ
พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต หรือ
เสด็จในกรมฯ ท่านเจ้าของวังอย่างใกล้ชิด

10. ตลาดนัดสวนจตุจักร

        ตลาดนัดสวนจตุจักร คือ "สวรรค์ของคุณๆ" สำหรับผู้ที่ชอบซื้อสินค้าและต่อรองราคา
        โดยวันพุธและพฤหัสบดีจะเป็นตลาดค้าส่งต้นไม้ ส่วนวันเสาร์ และอาทิตย์นั้นจะเป็นเปลี่ยน
เป็นตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
        รวมทั้งเป็นศูนย์รวมร้านค้ากว่า 15,000 ร้านจากทุกภูมิภาคของประเทศ เปิดตั้งแต่ 7 โมง
เช้าถึงค่ำ 







วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อาหารเพื่อสุขภาพ


10 สุดยอดอาหารที่ควรทานทุกวัน

10 สุดยอดอาหารที่ควรทานทุกวัน

อาหารเพื่อสุขภาพ



          ไม่ว่าใคร ๆ ก็ล้วนแล้วอยากจะมีสุขภาพที่ดีไม่ต่างกัน ดังนั้น การดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จึงเป็นวิธีง่าย ๆ ที่หลาย ๆ คนเลือกใช้และที่สำคัญ มันให้ผลลัพธ์ที่ดีซะด้วยสิ  โดยเฉพาะเรื่องการรับประทานอาหารที่ทำให้สุขภาพดีจากภายใน ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ทุกวันเลยล่ะ 

          อ๊ะ ๆ แต่รู้มั้ยคะว่า นอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว หากคุณได้รับประทาน "สุดยอดอาหาร" ในทุก ๆ วันแล้ว ยิ่งทำให้คุณมีสุขภาพดีมากขึ้นไปอีก เอ? ว่าแต่สุดยอดอาหารที่ว่านี้ คืออะไร อิอิ.. ตามไปดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

เบอร์รี่


 1. เบอร์รี่ 

          แม้ว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะเคยเป็นผลไม้ที่หาทานได้ยากในบ้านเรา แต่ในสมัยนี้เห็นจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เค้ามีขายกันเกลื่อนตามห้างสรรพสินค้า และท้องตลาดบางแห่งด้วยแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมคะว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้น ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารได้มากเลยทีเดียว แถมยังมีแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ และที่สำคัญ ยังมีวิตามิน C ที่ช่วยในเรื่องผิวพรรณและหวัดอีกด้วย

ไข่ไก่

 2. ไข่ไก่ 

          ไข่ไก่เป็นสุดยอดอาหารที่หาง่ายมาก ๆ แถมยังราคาถูกอีกแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมว่า ไข่ไก่นั้นเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง ที่ทำให้คุณได้พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา อ้อ แถมยังมีลูทีนที่จะป้องกันผิวคุณจากการทำลายของแสงแดดอีกด้วย

ถั่ว

  3. ถั่ว 

          ถั่วเป็นแหล่งของเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการส่งผ่านออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย โดยในถั่ว 1 ถ้วย จะให้ธาตุเหล็กประมาณ 16 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเลยทีเดียว นอกจากนี้ ถั่วยังมีไฟเบอร์ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย

มะม่วงหิมพานต์

  4. อัลมอนต์ แม็คคาเดเมีย และมะม่วงหิมพานต์ 

          เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ จากการศึกษาของนักโภชนาการ พบว่า ผู้ที่รับประทานเมล็ดพืชเหล่านี้จะมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่ได้ทานถึง 2 ปีครึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีโอเมก้า 3 เอแอลเอ ที่จะส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีด้วย

ส้ม


 5. ส้ม 

          เป็นแหล่งวิตามิน C คุณภาพ ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค รวมทั้งยังมีไฟเบอร์สูง เป็นแหล่งของแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ที่จะช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว เรียกว่าคุณประโยชน์ครบครันเลยทีเดียว

มันเทศ

 6. มันเทศ 

          อาหารที่หาได้ง่าย แถมยังให้ประโยชน์มากมายกับสุขภาพอีก มันเทศเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดีที่ช่วยในการบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และที่หลาย ๆ คนคิดไม่ถึง คือ มันเทศมีสารต้านมะเร็งสูงอีกด้วยค่ะ

บร็อกโคลี

  7. บร็อคโคลี่ 

          เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ (Isothiocyanates) ที่ช่วยต่อต้านมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วย

ชา

  8. ชา 

          แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ไม่ได้ให้ผลดีต่อสุขภาพเท่าไหร่ แต่รู้ไหมว่า การดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง และทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรงขึ้น เพราะในชานั้นมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพ

คะน้า

  9. คะน้า 

          มีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด รวมถึงมีวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมเสริมสร้างการทำงานของกระดูก

โยเกิร์ต

  10. โยเกิร์ต 

          อาหารสุขภาพที่หลาย ๆ คนมักจะซื้อไว้ติดบ้าน เอาไว้ทานยามหิว และนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ เพราะในโยเกิร์ตนั้นมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 และโปรตีน ดังนั้น ถ้าคุณทานโยเกิร์ตให้ได้วันละ 1 ถ้วย จะทำให้สุขภาพคุณดีอย่าบอกใครเลยล่ะ

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อาหารไทย 4 ภาค


เมนูอาหารไทยสี่ภาค

ภาคกลาง
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ข้าวปลาอาหารจึงอุดมสมบูรณ์เกือบตลอดทั้งปี รวมทั้งมีพืชผัก ผลไม้นานาชนิด
ด้วยเหตุนี้อาหารภาคกลางจึงเป็นอาหารที่มีความหลากหลาย ทำให้รสชาติของอาหารภาคกลางไม่เน้นไปทางรสใดรสหนึ่งโดยเฉพาะ คือมีทั้งรสเค็ม เผ็ด เปรี้ยว และหวานคลุกเคล้าไปตามชนิดต่างๆของอาหาร นอกจากนี้มักมีการใช้เครื่องปรุงแต่งกลิ่นรส เช่น เครื่องเทศ และมักใช้กะทิเป็นส่วนประกอบของอาหาร
อาหารภาคกลางเป็นอาหารที่มักจะมีเครื่องเคียงของแนมร่วมรับประทานด้วย เช่น น้ำพริกลงเรือ แนมด้วยหมูหวาน น้ำปลาหวานทานกับสะเดา เป็นต้น
จุดเด่นคือ อาหารภาคกลางมักจะมีการประดิษฐ์ สร้างสรรค์อย่างวิจิตรบรรจง ผัก และผลไม้มีการแกะสลักอย่างสวยงาม แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทยที่มีศิลปะและวัฒนธรรมที่งดงาม

ภาคใต้
พื้นที่ติดชายฝั่งทะเล ลักษณะภูมิประเทศเป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล ประชากรส่วนใหญ่จึงนิยมทำประมง
ด้วยเหตุนี้อาหารหลักของภาคใต้จึงเป็นอาหารทะเลสด และนิยมใช้เครื่องเทศในการปรุงอาหาร รสชาติจะเผ็ดร้อน เค็มและเปรี้ยว เช่น แกงไตปลา แกงส้ม และแกงเหลือง เป็นต้น
อาหารภาคใต้นิยมทานควบคู่กับผักเพื่อช่วยลดความเผ็ดร้อนลง ซึ่งเรียกว่า ผักเหนาะ เช่น มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว ถั่วพู สะตอเป็นต้น


ภาคเหนือ
เป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีต มีขนบธรรมเนียม ประเพณีที่แตกต่างไปจากภาคอื่นๆ
การรับประทานอาหารของทางภาคเหนือจะใช้โก๊ะข้าว หรือที่เรียกว่า ขันโตก แทน โต๊ะอาหาร โดยจะนั่งล้อมวงเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน
คนภาคเหนือจะรับประทานข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก โดยอาหารของทางภาคเหนือจะเป็นอาหารที่สุกมากๆ และเป็นอาหารประเภทที่ผัดกับน้ำมันเป็นส่วนใหญ่

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เป็นดินแดนที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ทำให้อาหารพื้นเมืองจึงเป็นอาหารพวกแมลงหลายชนิด ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่หล่อเลี้ยงชีวิตประชากรในภาคนี้
อาหารอีสานส่วนใหญ่จะมีข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก ส่วนพืชผัก และเนื้อสัตว์ที่นำมาใช้ประกอบอาหารได้มาจากภายในท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่
อาหารอีสานมักใช้ปลาร้าเป็นเครื่องปรุงรสในอาหารเกือบทุกชนิด แต่ไม่นิยมใส่ในอาหารประเภทผัด และมักรับประทานคู่กับผักสด


อาหารไทย 4 ภาคแตกต่างกันอย่างไร

อาหารไทยภาคเหนือ 
          อาหารของภาคเหนือประกอบด้วยข้าวเหนียว น้ำพริกชนิดต่างๆ เป็นต้นว่า น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกแดง น้ำพริกอ่อง มีแกงหลายชนิด เช่น แกงฮังเล แกงโฮะ แกงแค นอกจากนั้นยังมีอาหารพื้นเมือง เช่น แหนม ไส้อั่ว เนื้อนึ่ง จิ้นปิ้ง แคบหมู หมูทอด ไก่ทอดและผักต่างๆ 
          คนไทยที่อยู่ทางภาคเหนือนิยมรับประทานอาหารรสกลางๆ มีรสเค็มนำเล็กน้อย รสเปรี้ยวและหวานมีน้อยมาก หรือแทบไม่นิยมเลย เนื้อสัตว์ที่นิยมรับประทาน ได้แก่ เนื้อหมู เพราะหาได้ง่าย ราคาไม่แพง และมีขายทั่วไปในท้องตลาดเนื้อสัตว์อื่นที่นิยมรองลงมาคือ เนื้อวัว ไก่ เป็ด นก ฯลฯ สำหรับอาหารทะเลนิยมน้อยเพราะราคาแพง เนื่องจากอยู่ห่างไกลทะเล 

อาหารไทยภาคกลาง            

 โดยทั่วไปคนภาคกลางรับประทานอาหารที่มีรสกลมกล่อม มีรสหวานนำเล็กน้อย วิธีการปรุงอาหารซับซ้อนขึ้นด้วยการนำมาเสริมแต่ง หรือประดิดประดอยให้สวยงาม เช่น น้ำพริกลงเรือ ซึ่งดัดแปลงมาจากน้ำพริกกะปิ จัดให้สวยงามด้วยผักแกะสลักเป็นต้น ลักษณะอาหารที่รับประทาน มักผสมผสานกันระหว่างภาคต่างๆ เช่น แกงไตปลา ปลาร้าน้ำพริกอ่อง เป็นต้น 
          ทุกบ้านจะรับประทานข้าวสวยเป็นหลักอาหารเย็นมีกับข้าว 3-5 อย่าง ได้แก่ แกงจืดหรือแกงส้มหรือแกงเผ็ด เช่น พะแนง มัสมั่นแห้ง ไก่ผัดพริก หรือยำ เช่น ยำถั่วพู ยำเนื้อย่าง อาหารประจำของคนไทยภาคกลางคือ ผัก น้ำพริก และปลาทู อาจจะมีไข่เจียว เนื้อทอด หรือหมูย่างอีกจานหนึ่งก็ได้ โดยคำนึงถึงวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นหลัก 


อาหารไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ        

   อาหารจะมีข้าวเหนียวนึ่งเป็นหลักเช่นเดียวกับภาคเหนือ รับประทานกับลาบไก่ หมู เนื้อ หรือ ลาบเลือด ส้มตำ ปลาย่าง ไก่ย่าง จิ้มแจ่ว ปลาร้า อาหารภาคนี้จะนิยมปิ้ง หรือย่างมากกว่าทอดอาหารทุกชนิดต้องรสจัด เนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงอาหาร ได้แก่ สัตว์ที่ชาวบ้านหามาได้ เช่น กบ เขียด แย้ งู หนูนา มดแดง แมลงบางชนิด ส่วนเนื้อหมู วัว ไก่ และเนื้อสัตว์อื่น ๆ ก็นิยมตามความชอบ และฐานะ สำหรับอาหารทะเลใช้ปรุงอาหารน้อยที่สุด เพราะนอกจากจะหายากแล้วยังมีราคาแพงอีกด้วย 

อาหารไทยภาคใต้ 
          อาหารของภาคใต้จะมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่นๆ แกงที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ คือ แกงเหลือง แกงไตปลา เครื่องจิ้ม ก็คือ น้ำบูดู และชาวใต้ยังนิยมนำน้ำบูดูมาคลุกข้าวเรียกว่า "ข้าวยำ" มีรสเค็มนำและมีผักสดหลายชนิดประกอบ อาหารทะเลสดของภาคใต้มีมากมาย ได้แก่ ปลา หอยนางรม และกุ้งมังกรเป็นต้น 
ฝักสะตอ มีลักษณะเป็นฝักยาว สีเขียวเวลารับประทานต้องปอกเปลือก แล้วแกะเม็ดออก ใช้ทั้งเม็ดหรือนำมาหั่น ปรุงอาหารโดยใช้ผัดกับเนื้อสัตว์หรือใส่ในแกง นอกจากนี้ยังใช้ต้มกะทิรวมกับผักอื่นๆ หรือใช้เผาทั้งเปลือกให้สุกแล้วแกะเม็ดออกรับประทานกับน้ำพริกหรือจะใช้สดๆ โดยไม่ต้องเผาก็ได้ ถ้าต้องการเก็บไว้นานๆ ควรดองเก็บไว้ 









วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จังหวัดอุบลราชธานี

จังหวัดอุบลราชธานี                                                                                                                                                                              แม่น้ำสองสี
หรือดอนด่านปากแม่น้ำมูล อยู่ในเขตบ้านเวินบึก นั่งเรือจากตัวอำเภอโขงเจียมไปประมาณ 5 นาที เป็นบริเวณที่แม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำโขงสีปูน แม่น้ำมูลสีคราม อยู่ห่างจากจังหวัด อุบลราชธานี 84 กม. จุดที่สามารถมองเห็นแม่น้ำสองสีได้อย่างชัดเจน คือ บริเวณลาดริมตลิ่ง แม่น้ำมูล แม่น้ำโขงหน้าวัดโขงเจียม และบริเวณบางส่วนของหมู่บ้านห้วยหมาก ในเดือนเมษายน จะเป็นเดือนที่ เห็นความแตกต่างของสีน้ำได้ชัดเจนที่สุด นอกจากนี้แล้วบริเวณใกล้เคียงยังมีบริการเรือพาล่องชม ทัศนียภาพสองฝั่งแม่น้ำ หรือซื้อของที่ระลึก ที่ตลาดหมู่บ้านในฝั่งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาวอีกด้วย
 สถานที่ท่องเที่ยวท่องเที่ยวท่องเที่ยว
 แม่น้ำสองสี
ร้านอาหารบริเวณฝั่ง ริมแม่น้ำ

restaurant.jpg (535×394)

จุดที่แม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน

river2.jpg (535×421)

ศาลาพักผ่อนชมแม่น้ำ